top of page

ไวรัสตับอักเสบบี ภัยเงียบสู่ตับแข็งและมะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบบี ภัยเงียบสู่ตับแข็งและมะเร็งตับ

ไวรัสตับอักเสบบี (Hepatitis B Virus หรือ HBV) เป็นหนึ่งในปัญหาสุขภาพที่สำคัญระดับโลก โรคนี้ส่งผลกระทบต่อตับซึ่งเป็นอวัยวะสำคัญในร่างกาย การติดเชื้อนี้สามารถนำไปสู่ปัญหาสุขภาพร้ายแรงได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ การป้องกัน และการรักษาโรคนี้

อาการของไวรัสตับอักเสบบี

อาการของโรคไวรัสตับอักเสบบีมักไม่ชัดเจนในระยะแรก อย่างไรก็ตาม อาการที่อาจพบได้มีดังนี้

  • อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า

  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน

  • ปวดท้องบริเวณช่องท้องด้านขวาบน

  • ปวดข้อ

  • มีไข้

  • ตัวเหลือง ตาเหลือง (ดีซ่าน)

  • ปัสสาวะสีเข้ม

  • อุจจาระสีซีด

ไวรัสตับอักเสบบี มีกี่ระยะ ?

ไวรัสตับอักเสบบี มีกี่ระยะ ?

โรคไวรัสตับอักเสบบีแบ่งออกเป็น 2 ระยะหลัก

  1. การติดเชื้อเฉียบพลัน: เกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนแรกหลังจากได้รับเชื้อ ผู้ใหญ่ส่วนใหญ่สามารถกำจัดไวรัสได้เองในระยะนี้

  2. การติดเชื้อเรื้อรัง: เกิดขึ้นเมื่อร่างกายไม่สามารถกำจัดไวรัสได้ภายใน 6 เดือน ซึ่งอาจนำไปสู่ภาวะตับแข็งหรือมะเร็งตับในระยะยาว

การแพร่กระจายของเชื้อ

ไวรัสตับอักเสบบี แพร่กระจายผ่านการสัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้อ วิธีการติดต่อที่พบบ่อย ได้แก่

  1. การมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปลอดภัย: โดยเฉพาะการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ใช้ถุงยางอนามัยกับผู้ติดเชื้อ

  2. การใช้เข็มฉีดยาร่วมกัน: พบบ่อยในกลุ่มผู้ใช้ยาเสพติดชนิดฉีด

  3. การติดต่อจากแม่สู่ลูกระหว่างการคลอด: ทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อมีความเสี่ยงสูงที่จะได้รับเชื้อ

  4. การสัมผัสกับเลือดหรือบาดแผลเปิดของผู้ติดเชื้อ: เช่น การใช้ของมีคมร่วมกัน หรือการสัมผัสเลือดโดยไม่มีการป้องกัน

  5. การรับเลือดหรือผลิตภัณฑ์จากเลือดที่มีเชื้อ: แม้จะพบได้น้อยในปัจจุบันเนื่องจากมีการตรวจคัดกรองเลือดอย่างเข้มงวด

การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบี

การวินิจฉัยไวรัสตับอักเสบบีทำได้หลายวิธี โดยเริ่มจากการซักประวัติและตรวจร่างกายโดยแพทย์ หากสงสัยว่าอาจติดเชื้อ แพทย์จะสั่งตรวจเลือดเพื่อหาสารบ่งชี้ของไวรัสตับอักเสบบี

  • การตรวจหาแอนติเจนและแอนติบอดี้ต่างๆ

  • การตรวจวัดปริมาณไวรัสในเลือด

  • การตรวจการทำงานของตับ

ในบางกรณี แพทย์อาจพิจารณาทำการตรวจชิ้นเนื้อตับ เพื่อประเมินความเสียหายของตับ หรือใช้เทคโนโลยีการตรวจวัดความยืดหยุ่นของตับ เพื่อประเมินภาวะพังผืดในตับ การวินิจฉัยที่ถูกต้องและรวดเร็วมีความสำคัญอย่างยิ่งในการวางแผนการรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

การป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

การป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

การป้องกันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการรับมือกับไวรัสตับอักเสบบี วิธีการป้องกันที่สำคัญมีดังนี้

  • ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี: เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการป้องกันโรค

  • ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์

  • หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น

  • ไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน

  • ตรวจคัดกรองโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นประจำ

  • ทำความสะอาดบาดแผลและคราบเลือดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ

  • ทารกที่เกิดจากมารดาที่ติดเชื้อควรได้รับวัคซีนทันทีหลังคลอด

แนวทางการรักษา ไวรัสตับอักเสบบี

การรักษาไวรัสตับอักเสบบีมีหลายแนวทาง โดยแพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย ในกรณีการติดเชื้อเฉียบพลัน อาจใช้วิธีการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด เนื่องจากร่างกายอาจกำจัดไวรัสได้เอง สำหรับการติดเชื้อเรื้อรัง แพทย์อาจพิจารณาให้ยาต้าน เพื่อยับยั้งการแบ่งตัวของไวรัส เช่น

  • Entecavir

  • Tenofovir

  • Lamivudine

นอกจากนี้ แพทย์จะทำการเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อน เช่น ตับแข็งหรือมะเร็งตับ ในกรณีที่รุนแรงมากอาจต้องพิจารณาการปลูกถ่ายตับ ทั้งนี้ การรักษาที่เหมาะสมจะขึ้นอยู่กับการวินิจฉัยและการประเมินสภาพร่างกายของผู้ป่วยโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ดูแลตัวเองอย่างไรเมื่อเป็นไวรัสตับอักเสบบี

การดูแลตัวเองเมื่อเป็นไวรัสตับอักเสบบี เป็นสิ่งสำคัญควบคู่ไปกับการรักษาทางการแพทย์ ผู้ป่วยควรพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟู และหลีกเลี่ยงการออกกำลังกายหนักๆ งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์โดยเด็ดขาด เนื่องจากอาจทำให้ตับเสียหายมากขึ้น ควรรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ โดยเน้นผักผลไม้ ธัญพืช และโปรตีนคุณภาพดี หลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูงและอาหารแปรรูป ผู้ป่วยควรดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ และหลีกเลี่ยงยาที่อาจส่งผลต่อตับ รวมถึงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิด โดยควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาใดๆ นอกจากนี้ ผู้ป่วยควรระมัดระวังไม่ให้ผู้อื่นติดเชื้อ โดยไม่ใช้ของใช้ส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น มีดโกน แปรงสีฟัน และควรแจ้งคู่นอนให้ตรวจคัดกรองและรับวัคซีน ที่สำคัญคือต้องไปพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อติดตามอาการ และปรับการรักษาตามความเหมาะสม

เชียงใหม่ ตรวจคัดกรอง หรือ รักษา ไวรัสตับอักเสบบี ได้ที่ไหน ?

เชียงใหม่ ตรวจคัดกรอง หรือ รักษา ไวรัสตับอักเสบบี ได้ที่ไหน ?

สำหรับชาวเชียงใหม่ ที่ต้องการ ตรวจคัดกรอง หรือ รักษา ไวรัสตับอักเสบบี สามารถเข้ารับบริการ ได้ที่ Hugsa Clinic กลางเวียง เชียงใหม่ ที่ให้บริการโดยแพทย์เฉพาะทางเกี่ยวกับไวรัสตับอักเสบ และโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆ เพื่อมอบคุณภาพชีวิต และสุขภาพที่ดีให้กับชาวเชียงใหม่ พร้อมบริการด้านการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และก้าวทันนวัตกรรมทางการแพทย์

อ่านบทความอื่นๆ

ช่องทางการติดต่อ

  • ฮักษาคลินิก กลางเวียง เชียงใหม่

  • ตั้งอยู่ที่ 77/7 ถนน คชสาร ตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่

  • เปิดบริการทุกวัน

    • จันทร์ – ศุกร์ 10.00 – 20.00 น.

    • เสาร์ – อาทิตย์ 10.00 – 18.00 น.

  • สอบถามผ่าน Line id. @hugsaclinic (มี @ ด้วยนะครับ)

  • เบอร์โทรติดต่อ ☎ 093 309 9988

  • แผนที่คลินิก 🚗 https://g.page/hugsa-medical?share

  • จองคิวตรวจออนไลน์ https://hugsa.youcanbook.me

ไวรัสตับอักเสบบี เป็นโรคที่สามารถป้องกันได้ด้วยการฉีดวัคซีน และการปฏิบัติตามมาตรการป้องกันที่เหมาะสม การตระหนักรู้เกี่ยวกับโรคนี้ การตรวจคัดกรอง และการรักษาที่เหมาะสมสามารถช่วยลดผลกระทบของโรคและปรับปรุงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยได้อย่างมาก หากคุณมีความกังวลเกี่ยวกับความเสี่ยงในการติดเชื้อ ควรปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพเพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสม


Comments


Commenting has been turned off.
bottom of page