top of page

เอชไอวี (HIV) รู้เท่าทัน ป้องกันได้

เอชไอวี (HIV) รู้เท่าทัน ป้องกันได้

เอชไอวี (HIV) หรือ Human Immunodeficiency Virus ยังคงเป็นหนึ่งปัญหาด้านสุขภาพระดับโลกนับตั้งแต่ตรวจพบเชื้อเอชไอวี ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนหลายล้านคนทั่วโลก แม้จะมีความก้าวหน้าอย่างมากในการวิจัย การป้องกัน และการรักษา แต่เอชไอวียังคงเป็นภัยคุกคามต่อสุขภาพของประชาชน เรามุ่งหวังที่จะให้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เกี่ยวกับเอชไอวี ขจัดความเข้าใจผิดที่พบบ่อย และเสริมศักยภาพบุคคลที่มีความรู้ในการจัดการ และป้องกันการแพร่กระจายของไวรัสอย่างมีประสิทธิภาพ

เอชไอวี (HIV) คืออะไร ?

เอชไอวี (HIV) ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เมื่อเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะยึดจับ และทำลายเม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ซึ่งทำหน้าที่สำคัญในการต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ทำให้ภูมิคุ้มกันบกพร่องลง

หากไม่ได้รับการรักษา ระดับ CD4 จะลดต่ำลงเรื่อยๆ จนในที่สุดร่างกายจะไม่สามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ จะทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ระยะโรคเอดส์ AIDS (Acquired Immunodeficiency Syndrome) ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี

การติดต่อของเชื้อเอชไอวี

เชื้อเอชไอวี สามารถติดต่อได้ 3 ช่องทางหลักๆ คือ

  • การมีเพศสัมพันธ์ โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย

  • การสัมผัสเลือด หรือสารคัดหลั่งที่ติดเชื้อ เช่น น้ำอสุจิ น้ำหล่อลื่น ช่องคลอด น้ำนมแม่

  • จากแม่สู่ลูก ในระหว่างตั้งครรภ์ คลอดบุตร หรือให้นมบุตร

เอชไอวี (HIV) อาการเป็นอย่างไร ?

เอชไอวี (HIV) อาการเป็นอย่างไร ?

อาการของการติดเชื้อเอชไอวี สามารถแบ่งออกเป็น 3 ระยะหลัก ได้แก่

  • ระยะเฉียบพลัน ระยะนี้เกิดขึ้นประมาณ 2 - 4 สัปดาห์หลังจากติดเชื้อ ผู้ป่วยจะมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกาย มีผื่น และปวดหัว อาการเหล่านี้มักหายไปเองภายใน 1 - 2 สัปดาห์

  • ระยะแฝง ระยะนี้เกิดขึ้นหลังจากระยะเฉียบพลันไปแล้ว ผู้ป่วยอาจไม่มีอาการใด ๆ เลย หรืออาจมีอาการเพียงเล็กน้อย เช่น อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ น้ำหนักลด ท้องเสีย เหงื่อออกตอนกลางคืน ต่อมน้ำเหลืองโต อาการเหล่านี้มักไม่รุนแรง และสามารถหายเองได้

  • ระยะเอดส์ (AIDS) ระยะนี้เกิดขึ้นเมื่อระดับเซลล์ CD4 ลดลงต่ำกว่า 200 เซลล์ต่อลูกบาศก์มิลลิเมตร ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงขึ้น เช่น ติดเชื้อโรคฉวยโอกาส น้ำหนักลดมาก ท้องเสียเรื้อรัง อ่อนเพลียมาก ติดเชื้อราในช่องปาก โรคปอดบวม โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคมะเร็งบางชนิด เป็นต้น

การวินิจฉัย เอชไอวี (HIV)

การวินิจฉัยการติดเชื้อเอชไอวี สามารถทำได้ด้วยการตรวจจากเลือด โดยการตรวจเลือดเพื่อหาเชื้อเอชไอวีจากในห้องปฏิบัติการมีด้วยกัน 4 วิธี ได้แก่

  1. HIV p24 Antigen Testing วิธีนี้สามารถตรวจได้ภายหลังการติดเชื้อ ประมาณ 2 สัปดาห์

  2. Anti-HIV Testing วิธีนี้สามารถตรวจพบได้หลังการติดเชื้อ ประมาณ 3 - 4 สัปดาห์

  3. HIV Ag/Ab Combination Assay วิธีนี้สามารถตรวจพบได้หลังการติดเชื้อ ประมาณ 2 สัปดาห์

  4. Nucleic Acid Amplification Testing วิธีนี้สามารถตรวจพบได้หลังการติดเชื้อ ประมาณ 5 - 7 วัน

การป้องกันการติดเชื้อเอชไอวี (HIV)

มีหลายวิธีที่จะป้องกันการติดเชื้อ HIV ดังนี้

  • มีเพศสัมพันธ์อย่างปลอดภัย โดยใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้ง

  • หลีกเลี่ยงการใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น

  • ตรวจเลือดหาเชื้อเอชไอวี เป็นประจำ

  • รับประทานยาต้านไวรัสเอชไอวี ก่อน สัมผัสเชื้อ (PrEP)

เอชไอวี (HIV) ไม่ใช่โรคเดียวกับ เอดส์ (AIDS)

เอชไอวี (HIV) ไม่ใช่โรคเดียวกับ เอดส์ (AIDS)

หลายคนมักเข้าใจผิดว่า เอชไอวี (HIV) และเอดส์ (AIDS) เป็นโรคเดียวกัน แต่ความจริงแล้ว ทั้งสองมีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน แต่มีความแตกต่าง เอดส์ (AIDS) ย่อมาจาก Acquired Immunodeficiency Syndrome เป็นระยะสุดท้ายของการติดเชื้อเอชไอวี เมื่อระบบภูมิคุ้มกันบกพร่องจนร่างกายไม่สามารถต่อสู้กับโรคต่างๆ ได้ ผู้ติดเชื้อเอชไอวีจะป่วยเป็นโรคแทรกซ้อน เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มะเร็งบางชนิด และจะทำให้ผู้ติดเชื้อเอชไอวีเข้าสู่ระยะโรคเอดส์

การรักษาเอชไอวี (HIV)

ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีรักษาการติดเชื้อเอชไอวี ให้หายขาด แต่การรักษาด้วยยาต้านไวรัส (Antiretroviral therapy - ART) มีประสิทธิภาพสูง ช่วยควบคุมเชื้อ HIV ชะลอความเสื่อมของระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยให้ผู้ติดเชื้อมีชีวิตที่ยืนยาว และมีสุขภาพที่ดี ยาต้านไวรัสกลุ่มนี้ทำงานโดยยับยั้งการแบ่งตัวของเชื้อ HIV ยาต้านไวรัสที่ใช้ในปัจจุบันมีหลายชนิด แพทย์จะเลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย โดยทั่วไปผู้ติดเชื้อจะต้องทานยาต้านไวรัสหลายชนิดร่วมกันเป็นสูตรยา และต้องทานยาอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกวันตลอดชีวิต

ผลลัพธ์ของการรักษาเอชไอวี (HIV)

  • ไวรัสลดลงจนตรวจไม่พบในเลือด: หากรับยาเกิน 6 เดือน เชื้อ HIV ในเลือดจะมีปริมาณน้อยมากจนตรวจไม่พบ ด้วยวิธีการตรวจทางห้องปฏิบัติการ ผู้ติดเชื้อที่อยู่ในภาวะนี้มีสุขภาพดี สามารถใช้ชีวิตได้ตามปกติ และไม่สามารถแพร่เชื้อไปยังผู้อื่นได้ (U=U)

  • ภูมิคุ้มกันแข็งแรงขึ้น: ระดับเซลล์ CD4 ซึ่งเป็นเซลล์เม็ดเลือดขาวที่สำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกัน จะเพิ่มสูงขึ้น ทำให้ร่างกายสามารถต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ได้ดีขึ้น

  • ลดความเสี่ยงของโรคแทรกซ้อน: ผู้ติดเชื้อที่ได้รับการรักษาอย่างสม่ำเสมอมีโอกาสน้อยที่จะป่วยเป็นโรคแทรกซ้อนจาก HIV เช่น วัณโรค ปอดบวม เยื่อหุ้มสมองอักเสบ มะเร็งบางชนิด

ตรวจเอชไอวี รักษาเอชไอวี เชียงใหม่ ได้ที่ไหน ?

ตรวจเอชไอวี รักษาเอชไอวี เชียงใหม่ ได้ที่ไหน ?

สำหรับชาวเชียงใหม่ ที่ต้องการ ตรวจคัดกรองเอชไอวี หรือ รักษาเอชไอวี สามารถเข้ารับบริการ ได้ที่ Hugsa Clinic กลางเวียง เชียงใหม่ ที่ให้บริการโดยแพทย์เฉพาะทาง เพื่อมอบคุณภาพชีวิต และสุขภาพที่ดีให้กับชาวเชียงใหม่อย่างคุ้มค่าคุ้มราคา พร้อมบริการด้านการแพทย์ที่ได้มาตรฐาน ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และก้าวทันนวัตกรรมทางการแพทย์

อ่านบทความอื่นๆ

ช่องทางการติดต่อ

  • ฮักษาคลินิก กลางเวียง เชียงใหม่

  • ตั้งอยู่ที่ 77/7 ถนน คชสาร ตำบลช้างคลาน อำเภอเมืองเชียงใหม่ เชียงใหม่

  • เปิดบริการทุกวัน

  • จันทร์ – ศุกร์ 10.00 – 20.00 น.

  • เสาร์ – อาทิตย์ 10.00 – 18.00 น.

  • สอบถามผ่าน Line id. @hugsaclinic (มี @ ด้วยนะครับ)

  • เบอร์โทรติดต่อ ☎ 093 309 9988

  • แผนที่คลินิก 🚗 https://g.page/hugsa-medical?share

  • จองคิวตรวจออนไลน์ https://hugsa.youcanbook.me

ดังนั้น การตรวจหาเชื้อเอชไอวี จึงเป็นสิ่งสำคัญ เพราะช่วยให้ทราบสถานะการติดเชื้อได้เร็ว ผู้ติดเชื้อจะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที ชะลอความเสื่อมของระบบภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคแทรกซ้อน และมีชีวิตที่ยืนยาวเหมือนคนปกติทั่วไป

Comments


Commenting has been turned off.
bottom of page